วันเสาร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

พิษพาราเซตามอล

พิษพาราเซตามอล

พาราเซตามอล (paracetamol) หรือ อะเซตามิโนเฟน (acetaminophen) เป็น ยาบรรเทาอาการปวด (analgesics) ไม่มีผลข้างเคียงเรื่องการระคายเคืองผนังกระเพาะอาหาร และการแข็งตัวของเลือดเหมือน ยากลุ่มเอ็นเซด (non-steroidal anti-inflammatory; NSAIDs) เช่น ยาแอสไพริน ยาไอบูโพรเฟน (ibuprofen) หากใช้ในขนาดการรักษาปกติ ทำให้ประชาชนทั่วไปไม่ค่อยรู้พิษสงของยานี้เท่าไหร่ นอกจากนี้ยังสามารถหาซื้อได้ง่ายโดยไม่ต้องมีใบสั่งยาจากแพทย์ เป็นเหตุให้ปริมาณการใช้ยาตัวนี้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว พาราเซตามอลกลายเป็นยาประจำบ้านที่ขายดิบขายดี เป็น อะไรก็กินแต่พาราเซตามอล ปวดศีรษะ ไข้หวัด ก็พาราเซตามอล ปวดหลัง ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ก็พาราเซตามอล ยิ่งกว่านั้นบางรายปวดท้อง เวียนศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน ก็กินพาราเซตามอล ซึ่งพาราเซตามอลก็คงไม่ได้ช่วยอะไร ทำได้แค่ให้สบายใจขึ้นเพราะได้กินยาแล้ว บ้างก็มัวแต่ผลัดวันประกันพรุ่ง ไม่ยอมไปหาหมอรักษากัน พลอยทำให้โรคที่เป็นลุกลามมากขึ้น ต้องเสียเงินรักษามากขึ้นโดยใช่เหตุ

ในหลายประเทศได้แก่

อังกฤษ สหรัฐอเมริกา ได้มีการสำรวจวิจัยพบว่ามีการใช้ ยาพาราเซตาอลเกินขนาดมากขึ้นทุกปี และมีผู้ที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจากการเกิดพิษของพาราเซตามอ ลจำนวนมากจนน่าตกใจจนต้องออกมารณรงค์ให้ใช้ยาพาราเซตามอลเฉพาะเมื่อมีความจำ เป็น และเผยแพร่ความรู้เรื่องพิษของยาให้ประชาชนตระหนักมากยิ่งขึ้นผ่านสื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น โทรทัศน์ วิทยุ ใบปลิว เอกสารกำกับยา หรืออินเตอร์เน็ต

อันตรายจากการใช้ยาพาราเซตามอลที่พบได้มากที่สุด คือ พิษต่อตับ ทำให้ตับวาย รองมาเป็นเรื่องของการเกิดปฏิกิริยากับยาอื่น หรือตีกับยาอื่นนั้นเอง ซึ่งเกิดขึ้นจากความตั้งใจและไม่ตั้งใจ

ผลไม้ไทย ต้านโรคมะเร็ง

ผลไม้ไทย ต้านโรคมะเร็ง

ในปริมาณส่วนที่รับประทาน 100 กรัม พบว่า ผลไม้ที่พบสารเบต้าแคโรทีนมากที่สุด 10 อันดับแรก คือ
- มะม่วงน้ำดอกไม้สุก 873 ไมโครกรัม
- รองลงมา ได้แก่ มะเขือเทศราชินี 639 ไมโครกรัม
- มะละกอสุก 532 ไมโครกรัม
- แคนตาลูปเหลือง 217 ไมโครกรัม
- มะปรางหวาน 230 ไมโครกรัม
- มะยงชิด 207 ไมโครกรัม
- สับปะรดภูเก็ต 150 ไมโครกรัม
- แตงโม 122 ไมโครกรัม
- ส้มสายน้ำผึ้ง 101 ไมโครกรัม
- และลูกพลับ 93 ไมโครกรัม 

สำหรับผลไม้ที่มีวิตามินอีสูงสุด 10 อันดับแรก ได้แก่

- ขนุนหนัง 2.38 มิลลิกรัม
- มะขามเทศ 2.29 มิลลิกรัม
- มะม่วงเขียวเสวยดิบ 1.52 มิลลิกรัม
- มะเขือเทศราชินี 1.34 มิลลิกรัม
- มะม่วงเขียวเสวยสุก 1.23 มิลลิกรัม
- มะม่วงน้ำดอกไม้สุก 1.1 มิลลิกรัม
- มะม่วงยายกล่ำสุก 0.97 มิลลิกรัม
- กล้วยไข่ 0.47 มิลลิกรัม
- แก้วมังกรเนื้อสีชมพู 0.59 มิลลิกรัม
- สตรอเบอร์รี่มี 0.54 มิลลิกรัม


ส่วนผลไม้ที่มีวิตามินซีมากที่สุด 10 อันดับแรก คือ

- ฝรั่งกลมสาลี่ 187 มิลลิกรัม
- ฝรั่งไร้เมล็ด 151 มิลลิกรัม
- มะขามป้อม 111 มิลลิกรัม
- มะขามเทศ 97 มิลลิกรัม
- เงาะโรงเรียน 76 มิลลิกรัม
- ลูกพลับ 73 มิลลิกรัม
- สตรอเบอร์รี่ 66 มิลลิกรัม
- มะละกอแขกดำสุก 55 มิลลิกรัม
- พุทราแอปเปิ้ล 47 มิลลิกรัม
- ส้มโอขาวแตงกวา 48 มิลลิกรัม


และจากการศึกษากล้วยต่างๆ 24 สายพันธุ์ พบว่า

- กล้วยไข่พม่ามีสารเบต้าแคโรทีนสูงสุด 528 ไมโครกรัม
- รองลงมาคือ กล้วยงาช้าง 520 ไมโครกรัม
- กล้วยไข่โนนสูง 397 ไมโครกรัม
- กล้วยนางพญา 393 ไมโครกรัม
- กล้วยไข่ 271 ไมโครกรัม
- กล้วยหักมุกนวล 270 ไมโครกรัม

ล้างสารพิษภายในร่ายกาย

ล้างสารพิษภายในร่ายกาย
คงพอจะทราบกันมาบ้างว่าการล้างสารพิษที่หมักหมมอยู่ในตัวให้ออกไปได้นั้นจะช่วยส่งผลทำให้ร่างกายแข็งแรง เลือดลมเดินสะดวก และถ้าทำเป็นประจำสม่ำเสมอแล้วล่ะก็จะช่วยฟื้นฟูสุขภาพและรักษาโรคได้ด้วย รู้แบบนี้แล้วจะมัวช้าอยู่ไย เลือกวันดีๆ ขึ้นมาสัก 1 วัน แล้วมาขจัดสารพิษในร่างกายกันเลยดีกว่า
หัวใจสำคัญของการล้างสารพิษใน 1 วันทำได้โดยจะต้องปฏิบัติตัวในการกินให้ได้แคลอรี่แค่ 800 กิโลแคลอรี่เท่านั้น เพื่อให้ระบบย่อยและตับได้พัก ต่อจากนั้นตับจะได้ขับสารพิษออกมาได้ และอาหารที่จะรับประทานในวันนั้นจะต้องไม่มีเนื้อสัตว์เข้ามาปะปนอย่างเด็ดขาด เมื่อเข้าใจกันดีแล้ว ต่อไปเรามาเข้าสู่กระบวนการล้างสารพิษกันเลย
1. เลือกผลไม้ที่ชอบมา 1 อย่าง เช่น มะละกอ ฝรั่ง แคนตาลูป แอปเปิ้ล ฯลฯ ยกเว้นอยู่ 2 อย่าง คือ ทุเรียนกับสับปะรด เพราะทุเรียนมีแคลอรี่สูงเกินไปทำให้ย่อยยาก เมื่อรับประทานแล้วจะเป็นภาระกับระบบย่อยอาหาร ส่วนสับปะรดก็มีกรดสูงมาก ถ้ากินบ่อยๆ ก็จะทำให้ท้องอืดได้
2. ให้รับประทานแต่ผลไม้ชนิดเดียวตลอดทั้งวัน โดยอาจจะปรับเปลี่ยนรูปแบบได้ เช่น ถ้าเลือกมะละกอก็อาจจะทานเป็นเนื้อมะละกอสุก หรือส้มตำที่ใส่เฉพาะมะละกอกับน้ำปลามะนาวเท่านั้น ไม่ใส่เครื่องประกอบอื่นอย่างเด็ดขาด
3. พอถึงมื้อกลางวันก็ให้รับประทานมะละกออีก แต่อาจจะเปลี่ยนเป็นน้ำมะละกอปั่นใส่น้ำตาลน้อยที่สุดหรือน้ำมะละกอคั้นสดก็ได้
4. มื้อเย็นก็ยังต้องรับประทานมะละกออีกครั้งเป็นมื้อสุดท้ายของวัน โดยอาจจะบีบมะนาวลงไปด้วยนิดหน่อยเพื่อเพิ่มรสชาติให้ไม่เลี่ยนจนเกินไป
5. วันรุ่งขึ้นก่อนที่จะเริ่มมื้อเช้า ก็ให้ดื่มน้ำมะนาวผสมน้ำอุ่นประมาณ 2 ขวด เพราะเมื่อเราล้างสารพิษ ตับจะขับสารพิษให้มารวมกันอยู่ที่ลำไส้เล็กส่วนต้น จึงต้องดื่มน้ำอุ่นผสมน้ำมะนาวเข้าไปกระตุ้นให้ลำไส้บีบตัว เพื่อให้สารพิษถูกดันออกมากับอุจจาระ หลังจากที่ดื่มน้ำอุ่นแล้วคุณจะรู้สึกอยากเข้าห้องน้ำทันที แต่ถ้าไม่มีการดื่มน้ำกระตุ้นและไปรับประทานอาหารเช้าเลย สารพิษก็จะถูกดูดกลับเข้าไปในกระแสเลือดเหมือนเดิม ทำให้การอดอาหารล้างพิษของเราเป็นอันต้องเสียเปล่าไป